ทำไมเราถึงฝัน

พลตรี.ดร.นพ.โยธิน. ชินวลัญช์

นายกสมาคมนิทราเวชศาสตร์

ทำไมถึงคนเราถึงมีการฝัน จากการศึกษามาเป็นเวลาเกือบ 1000 ปีเรายังไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้ชัดเจนว่าทำไมคนเราถึงต้องฝัน

จากทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญพูดถึงเกี่ยวเรื่องความฝันและจากการวิจัยทำให้เราได้มีความรู้ และความเข้าใจในเรื่องของความฝันได้มากขึ้น

ความฝันคืออะไร

ความฝันจะประกอบด้วย ภาพความคิดและอารมณ์ที่เราประสบในช่วงการนอนหลับความฝันอาจจะมีตั้งแต่เหตุการณ์ที่ จินตนาการ เหลือเชื่อ แปลก เข้มข้น ให้อารมณ์ หรือเรื่องที่ไม่มีความหมาย ล่องลอย สับสน หรือ แม้กระทั่งเรื่องที่น่าเบื่อ ความฝัน บางอย่างทำให้มีความสุข สดชื่น แต่บางอย่างก็ทำให้น่าตกใจ สะพรึงกลัวหรือเศร้า ความฝันบางอย่างก็จะมีความหมายที่ชัดเจนแต่ความฝันบางอย่างก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

ยังมีสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบอีกมากเกี่ยวเรื่องการนอนและความฝัน แต่สิ่งที่จากการวิจัยได้กระทำมาแล้วทราบว่าทุกคนจะต้องมีการฝันเมื่อเวลานอนหลับอย่างน้อยประมาณ 2 ชั่วโมง ในช่วงการนอน REM sleep ต่อคืนขึ้นกับว่าจะจำเหตุการณ์ความฝันได้หรือไม่ได้เมื่อเวลาตื่นขึ้นมา

เราจะศึกษาความฝันได้อย่างไร

การศึกษาโดยวิธีดั้งเดิมเกี่ยวกับเรื่องของรายละเอียดของความฝันจะวัดได้จากการสัมภาษณ์ในผู้คนที่ฝันเมื่อเวลาตื่นขึ้นมา อย่างไรก็ตามการศึกษาสามารถประเมินในห้องปฏิบัติการได้ มีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของความฝันที่เกิดขึ้นและดูการทำงานของสมองโดยใช้เครื่องตรวจขึ้นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองที่เรียกว่า fMRI และมาสัมพันธ์กับอาการฝันของผู้เข้ารับการวิจัย

บทบาทของ ความฝัน

มีทฤษฎีที่เชื่อว่าความฝันที่เกิดขึ้นมี เป็นกระบวนการการทำงานของสมองที่เกี่ยวกับ

  1. เพื่อการสร้างความจำแบบถาวร
  2. เป็นกระบวนการกลไกของอารมณ์ของมนุษย์
  3. เป็นความต้องการที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของคนเรา
  4. เป็นกลไกของสมองที่มีการฝึกฝนที่จะเผชิญต่ออันตรายที่จะเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามเราก็เชื่อว่าความฝันเป็นผลรวมของเหตุผลหลายอย่าง มากกว่าจะเป็นเรื่องของเหตุผลอันใดอันหนึ่งและเราเชื่อว่าความฝันมีความจำเป็นสำคัญต่อ จิตใจของมนุษย์ อารมณ์ และ สภาพร่างกายที่สมบูรณ์โดยที่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงอันใดอันหนึ่ง

การฝันจะเกิดในช่วงในระดับการนอนที่แตกต่างกัน ถ้าเรามีการฝันในช่วงของการนอนหลับ REM sleep เราก็อาจจะจำความฝันอันนั้นได้ แต่อย่างไรก็ตามเราอาจจะฝันในช่วงของนอน Non-REM sleep ได้เช่นกันแต่ความฝันในระยะนี้เราไม่สามารถที่จะจดจำรายละเอียดได้

ความฝันอาจจะสะท้อนจิตไร้สำนึก

ทฤษฎีความฝันของซิกมุนด์ ฟรอยด์ แสดงให้เห็นว่าความฝันเป็นตัวแทนของความปรารถนา ความคิด การเติมเต็มความปรารถนา และแรงจูงใจโดยไม่รู้ตัว ผู้คนมักถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาที่เก็บใว้อยู่ใต้จิตสำนึก เช่น สัญชาตญาณที่ก้าวร้าว และ สัญชาตยานทางเพศ แม้ว่าคำกล่าวอ้างของฟรอยด์หลายๆ อย่างจะถูกหักล้าง การวิจัยต่อมมาชี้ให้เห็นว่ามีผลสะท้อนกลับของความฝัน หรือที่เรียกว่าทฤษฎีการสะท้อนกลับของความฝัน ซึ่งการที่มีการยั้บยั้งของความคิดของคนเราในช่วงตื่นจะมักจะส่งผลให้เกิดการฝันถึงสิ่งนั้น

อะไรทำให้ความฝันเกิดขึ้น?

ใน “การตีความหมายของความฝัน” ฟรอยด์ เขียนว่าความฝันคือ “การเติมเต็มความปรารถนาที่เราอดกลั้นหรือยั้บยั้งไว้” นอกจากนี้ เขายังอธิบายถึงองค์ประกอบสองอย่างที่แตกต่างกันของความฝัน: เนื้อหาอย่างชัดแจ้ง และ เนื้อหาแฝง (ความหมายที่ซ่อนอยู่)

ทฤษฎีของฟรอยด์มีส่วนทำให้การตีความหมายของความฝันเพิ่มขึ้นและเป็นที่นิยม แต่จากการวิจัยต่อมาไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นว่าความฝันมีเนื้อหาที่ชัดเจน และ เนื้อหาแฝง อย่างที่ฟรอยด์เคยเสนอไว้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าความสำคัญทางจิตวิทยาของความฝัน เป็นเรื่องของบทบาทสำคัญในการประมวลของอารมณ์และประสบการณ์ที่ตึงเครียด

ตามแบบจำลองการกระตุ้น-สังเคราะห์ของความฝัน (activation-synthesis theory) ซึ่งเสนอครั้งแรกโดย J. Allan Hobson และ Robert McCarley วงจรในสมองจะทำงานระหว่างการนอนหลับ REM การศึกษาพบว่าสมองส่วน hippocampus และ amygdala จะมีถูกกระตุ้นร่วมมไปถึงวงจรของสมองที่ประกอบด้วยส่วนของสมองที่เรียกว่า limbic system ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึก และความทรงจำ สมองเหล่านี้จะถูกกระตุ้นและพยายามสร้างความหมายจากสัญญาณเหล่านี้ซึ่งส่งผลให้เกิดความฝัน

 ส่งผลให้เกิดการรวบรวมความคิด ภาพ และความทรงจำแบบสุ่มที่ปรากฏขณะฝัน และจะมีการประมวลรวบรวม สิ่งเหล่านี้ในขณะตื่นขึ้นมา

แม้ว่าในขณะนอนหลับ สมองของคนเราก็ยังทำงาน Hobson และ McCarley เสนอแนะว่าระหว่างการนอนหลับ กิจกรรมในระดับ พื้นฐานของสมองที่รับผิดชอบต่อขบวนการทางชีววิทยาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก จะถูกตีความโดยส่วนต่างๆ ของสมองที่มีหน้าที่ในระดับสูง เช่น การคิดและการประมวลผลข้อมูล การนอนหลับช่วยให้สมองทำกิจกรรมหลายอย่าง เช่น การทำความสะอาดสมอง และ รวบรวมความทรงจำจากวันก่อนหน้าให้เป็นระเบียบ ทฤษฎีการสังเคราะห์การกระตุ้นแนะนำว่า กระบวนการทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อเรานอนหลับเป็นสาเหตุของความฝัน

ความฝันช่วยในความทรงจำ

ตามทฤษฎีการประมวลผลข้อมูล การนอนหลับช่วยให้เราสามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลและความทรงจำทั้งหมดที่เราได้รวบรวมไว้เมื่อวันก่อน ผู้เชี่ยวชาญด้านความฝันบางคนแนะนำว่าการฝันเป็นผลพลอยได้หรือแม้แต่ส่วนสำคัญของการประมวลผลประสบการณ์นี้

โมเดลนี้เรียกว่าทฤษฎีการจัดระเบียบตนเองของการฝัน อธิบายว่าการฝันเป็นผลข้างเคียงของการทำงานของระบบประสาทในสมอง เนื่องจากความทรงจำถูกรวมเข้าด้วยกันระหว่างการนอนหลับในระหว่างกระบวนการกระจายข้อมูลในขณะที่เราไม่รู้ตัว ความทรงจำนั้นมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ตามทฤษฎีการจัดระเบียบตนเองของความฝัน ในขณะที่เราฝัน ความทรงจำที่เป็นประโยชน์จะทำให้เราจำได้ดีขึ้น ในขณะที่ความจำที่มีประโยชน์น้อยกว่าก็จะจางหายไป จากการวิจัยสนับสนุนทฤษฎีนี้โดยพบว่าเวลาที่คนทำงานที่ซับซ้อนเมื่อบุคคลนั้นฝันหลังจากที่ลงมือทำ พบว่าบุคคลนั้นจะทำงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าในระหว่างการนอนหลับ REM มีคลื่นไฟฟ้าช่วงความถี่ theta ในสมองส่วนหน้า frontal lobe เหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อคนฯนั้นกำลังเรียนรู้ เก็บและจดจำข้อมูลในช่วงขณะตื่น

ความฝันกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

อีกทฤษฎีหนึ่งเกี่ยวกับความฝันกล่าวว่า ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์แห่งความฝัน จิตไต้สำนึกของคนเราที่ไม่ถูกจำกัด มีอิสระที่จะท่องไปในศักยภาพที่ไร้ขอบเขต ในขณะที่ไม่ได้รับการยั้บยั้งจากความเป็นจริงในสังคม แต่ความคิดสร้างสรรค์ของคนเราจะถูกยับยั้งชั่งใจของตัวเราองในขณะตื่นมีสติสัมปชัญญะ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าความฝันเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพ

จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มีหลักฐานไม่มากนัก ที่ยืนยันข้อเท็จจริงนี้ มีหลายคนประสบความสำเร็จในการไขว่คว้าความฝันของพวกเขาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และให้เครดิตว่าเป็นเรื่องบัลดาลใจจากความฝัน ดั้งนั้นความสามารถในการสร้างการเชื่อมต่อระหว่างความทรงจำและความคิดที่ปรากฏในความฝันอาจจะเป็นการก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้

ความฝันสะท้อนชีวิตของคุณ

ภายใต้สมมติฐานที่ต่อเนื่องกัน ความฝันทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนของชีวิตจริงของบุคคล โดยนำประสบการณ์ที่ในช่วงขณะตื่นเข้ามาไว้ในความฝันของ ความฝันจะแสดงเป็นภาพปะติดปะต่อของเศษความทรงจำ ถึงกระนั้น การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการนอนหลับ Non-REM อาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำที่สิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวันมากกว่า ในขณะที่ความฝัน REM เป็นความมจำทีเกี่ยวข้องกับความทรงจำทางอารมณ์และ ความจำที่ทำให้เราเข้าใจหรือเป็นความรู้ โดยทั่วไป ความฝันจาก REM มักจะจำได้ง่ายกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความฝันจาก Non-REM 

ภายใต้สมมติฐานความต่อเนื่อง ความทรงจำอาจกระจัดกระจายอย่างมีจุดมุ่งหมายในความฝันของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ เข้าไว้ในความทรงจำระยะยาว แต่ก็ยังมีคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบมากมายว่าเหตุไฉนทำไมความทรงจำบางแง่มุมจึงปรากฏเด่นชัดในความฝันของเรา

ความฝันเพื่อเป็นการเตรียมตัวและปกป้อง

ทฤษฎีการฝึกฝนสัญชาตญาณดั้งเดิมและกลยุทธ์การปรับตัวของการฝันเสนอว่าเราฝันที่จะเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายในโลกแห่งความเป็นจริง ความฝันในฐานะฟังก์ชันการจำลองทางสังคมหรือการจำลองภัยคุกคามช่วยให้ผู้ฝันมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในการฝึกฝนทักษะการเอาชีวิตรอดที่สำคัญ ในขณะฝัน เราได้ฝึกฝนสัญชาตญาณการต่อสู้หรือหนี และสร้างความสามารถทางจิตเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่คุกคาม ภายใต้ทฤษฎีการจำลองภัยคุกคาม สมองขณะหลับของเรามุ่งเน้นไปที่กลไกการต่อสู้หรือหนีเพื่อเตรียมเราให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ที่คุกคามชีวิตและ/หรือสถานการณ์ที่รุนแรงทางอารมณ์ เช่น วิ่งหนีผู้ไล่ตาม ตกหน้าผา โผล่ที่ไหนสักแห่งในสภาพที่เปลือยเปล่า เข้าห้องน้ำสาธารณะ ลืมอ่านหนังสือสอบปลายภาค เป็นต้น ทฤษฎีนี้แนะนำว่าการฝึกหรือซ้อมทักษะเหล่านี้ในฝันทำให้เราได้เปรียบเชิงวิวัฒนาการในการที่เราจะรับมือหรือหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่คุกคามในโลกแห่งความเป็นจริงได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมความฝันมากมายจึงมีเนื้อหาที่น่ากลัว ดราม่า หรือเข้มข้น

ความฝันช่วยประมวลผลอารมณ์

ทฤษฎีความฝันเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์กล่าวว่าหน้าที่ของความฝันคือช่วยให้เราประมวลผลและรับมือกับอารมณ์หรือความบอบช้ำทางจิตใจในพื้นที่ที่ปลอดภัย จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า สมองส่วน amygdala และ hippocampus มีบทบาทสำคัญในการกลั่นกรองข้อมูลและย้ายความจำจากหน่วยความจำระยะสั้นไปเก็บที่หน่วยความจำระยะยาว มีการทำงานมากในขณะที่มีการฝันอยู่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ามมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างความฝัน การจัดเก็บความทรงจำ และการประมวลผลทางด้านอารมณ์

ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าการนอนหลับ REM มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ของสมอง นอกจากนี้ยังช่วยอธิบายว่าเหตุใดความฝันจึงมีเรื่องของอารมณ์อยู่ในความฝันด้วย และเวลาที่เรามีประสบการณ์ทางอารมณ์ที่เลวร้ายหรือประสบบาดแผลทางด้านจิตใจ สิ่งเหล่านี้จึงมักปรากฏขึ้นซ้ำๆ ในความฝัน การวิจัยแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความสามารถในการประมวลผลอารมณ์และการนอนหลับ REM ที่เกิดขึ้น

ทฤษฎีอื่นๆ เกี่ยวกับเหตุผลที่เราฝัน

มีการแนะนำทฤษฎีอื่น ๆ มากมายเพื่ออธิบายว่าทำไมเราถึงฝัน

  1. ทฤษฎีหนึ่งยืนยันว่าความฝันเป็นผลมาจากสมองของเราพยายามตีความสิ่งเร้าภายนอก (เช่น เสียงเห่าของสุนัข เสียงเพลง หรือการร้องไห้ของทารก) ระหว่างการนอนหลับ
  2. อีกทฤษฎีหนึ่งใช้คอมพิวเตอร์อุปมาเพื่ออธิบายความฝัน โดยสังเกตว่าความฝันทำหน้าที่ “ชำระล้าง” ความยุ่งเหยิงออกจากจิตใจ ทำให้สมองสดชื่นสำหรับวันรุ่งขึ้น
  3. ทฤษฎีการเรียนรู้แบบย้อนกลับแสดงให้เห็นว่าเราฝันที่จะลืม สมองของเรามีการเชื่อมต่อทางประสาทนับพันระหว่างความทรงจำ—มากเกินกว่าจะจำได้ทั้งหมด—และความฝันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ “การตัดแต่ง” การเชื่อมต่อเหล่านั้น
  4. ในทฤษฎีการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง เราฝันเพื่อที่จะให้สมองตื่นตัวขณะนอนหลับ เพื่อให้สมองทำงานได้อย่างถูกต้อง

การรู้ถึงความฝัน (Lucid Dreaming)

ความฝันแบบนี้เป็นความฝันที่ค่อนข้างหายากซึ่งผู้ฝันมีความตระหนักอยู่ในความฝันและมักจะควบคุมเนื้อหาความฝันได้ การวิจัยระบุว่าประมาณ 50% ของผู้คนจำได้ว่าเคยมีความฝันที่ชัดเจนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และมีเพียง 10% รายงานว่ามีความฝันสองครั้งขึ้นไปต่อเดือน ไม่ทราบสาเหตุที่คนบางคนประสบกับความฝันที่ชัดเจนบ่อยกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่ชัดเจนว่าเหตุใดความฝันที่ชัดเจนจึงเกิดขึ้น การวิจัยเบื้องต้นส่งสัญญาณว่าบริเวณส่วนหน้า prefrontal และสมอง parietal lobe มีบทบาทสำคัญ หลายคนปรารถนาความฝันที่ชัดเจนและแสวงหาประสบการณ์นั้นให้บ่อยขึ้น

วิธีฝึกที่เป็นไปได้สำหรับการกระตุ้นให้เกิดความฝันที่ชัดเจน ได้แก่ การฝึกความรู้ความเข้าใจ การกระตุ้นจากภายนอกระหว่างการนอนหลับ และการใช้ยา มีการพบความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างความฝันที่ชัดเจนกับการคิดเชิงจินตนาการและผลลัพธ์ที่สร้างสรรค์ การวิจัยพบว่าผู้ฝันที่ชัดเจนทำงานได้ดีกับงานสร้างสรรค์มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ฝันแบบรู้ถึงความฝัน

ความฝันจากความเครียด

ประสบการณ์ที่ตึงเครียดมักจะปรากฏขึ้นบ่อยครั้งในความฝันของเรา ความฝันความเครียดอาจอธิบายได้ว่าเป็นเรื่องเศร้า น่ากลัว และฝันร้าย ผู้เชี่ยวชาญไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดเนื้อหาที่ตึงเครียดจึงมาอยู่ในความฝันของเราได้อย่างไร แต่หลายคนก็ชี้ไปที่ทฤษฎีต่างๆ มากมาย รวมถึงสมมติฐานความต่อเนื่อง กลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนได้ และทฤษฎีความฝันที่ควบคุมอารมณ์เพื่ออธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ ความฝันความเครียดและสุขภาพจิตดูเหมือนจะไปด้วยกันได้

ความเครียดรายวันมักจะปรากฏขึ้นในความฝัน: การวิจัยพบว่าผู้ที่มีความกังวลมากขึ้นในชีวิตที่ตื่นขึ้นและผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเครียดหลังเกิดเหตุการ์ณที่กระทบกระเทือนจิตใจ (Post traumatic stress syndrome: PTSD) จะพบว่ามีความถี่และความรุนแรงของฝันร้ายที่สูงขึ้น

ความผิดปกติทางสุขภาพจิตอาจส่งผลต่อความฝันที่: ผู้ที่มีความผิดปกติทางสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล โรคอารมณ์สองขั้ว และภาวะซึมเศร้า มักจะมีความฝันที่ไม่ดี ฝันร้าย มากกว่า รวมทั้งนอนหลับยากขึ้นโดยทั่วไปความวิตกกังวลเชื่อมโยงกับความฝันที่เครียด การวิจัยบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างความวิตกกังวลและเนื้อหาความฝันที่ตึงเครียด ความฝันเหล่านี้อาจเป็นความพยายามของสมองที่จะช่วยเรารับมือและทำความเข้าใจกับประสบการณ์ที่ตึงเครียดเหล่านี้